สมเด็จพระมหาวชิรมังคลาจารย์ ปิดโครงการอบรมพระวิปัสสนาจารย์ ภาค 17 พร้อมมอบวุฒิบัตรแก่พระสงฆ์ผู้ผ่านการอบรม ณ วัดถ้ำเสือ กระบี่
กระบี่, 28 พฤษภาคม 2568 – วันนี้ สมเด็จพระมหาวชิรมังคลาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนใต้ ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีมอบวุฒิบัตรและกล่าวให้โอวาทแก่พระสังฆาธิการและพระภิกษุสงฆ์ที่ผ่านโครงการฝึกอบรมพระวิปัสสนาจารย์ เขตปกครองคณะสงฆ์ ภาค 17 ประจำปี 2568 และกล่าวปิดโครงการฯ ณ วัดถ้ำเสือ ต.กระบี่น้อย อ.เมืองกระบี่ จ.กระบี่ โดยมี นายอังกูร ศีลาเทวากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส
ในพิธีอันศักดิ์สิทธิ์นี้ มีพระสงฆ์ผู้ใหญ่เข้าร่วม อาทิ พระเทพวชิรากร รองเจ้าคณะภาค 17 และรักษาการเจ้าอาวาสวัดถ้ำเสือ, พระราชสุทธิวิมล เจ้าคณะจังหวัดกระบี่ และเจ้าอาวาสวัดกระบี่น้อย พร้อมด้วยคณะพระสังฆาธิการ พระภิกษุสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก
ถวายสักการะและประกาศการสร้างวัดใหม่
โอกาสนี้ คณะพระสังฆาธิการ และนายอังกูร ศีลาเทวากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกระบี่ ได้ร่วมกันถวายสักการะแด่สมเด็จพระมหาวชิรมังคลาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนใต้ นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ได้อ่านประกาศจังหวัดกระบี่ เรื่อง การสร้างวัด สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ณ บ้านทุ่งล้อ หมู่ที่ 6 ต.ทรายขาว อ.คลองท่อม จ.กระบี่ และถวายประกาศดังกล่าวแด่เจ้าคณะใหญ่หนใต้ เพื่อมอบให้กับผู้ขออนุญาตสร้างวัดต่อไป
วัตถุประสงค์โครงการฝึกอบรมพระวิปัสสนาจารย์
โครงการฝึกอบรมพระวิปัสสนาจารย์นี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-28 พฤษภาคม 2568 รวมระยะเวลา 15 วัน ณ วัดถ้ำเสือ มีพระสังฆาธิการและพระภิกษุในเขตปกครองคณะสงฆ์ ภาค 17 (ตรัง กระบี่ ภูเก็ต พังงา ระนอง) ผ่านการอบรมทั้งสิ้น 67 รูป
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญหลายประการ ได้แก่:
- เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
- เพื่อรองรับระเบียบและสนองนโยบายมหาเถรสมาคม เรื่องการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
- เพื่อให้พระภิกษุผู้เข้ารับการอบรมได้รับการนิเทศและฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวมหาสติปัฏฐานสูตร
- เพื่อฝึกอบรมบุคลากรของคณะสงฆ์ให้มีความรู้ ประสบการณ์ในด้านการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน สามารถปฏิบัติเองและอบรมสั่งสอนผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง
- เพื่อให้พระภิกษุผู้เข้ารับการอบรมปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นที่เพิ่มพูนความเคารพศรัทธา เป็นผู้นำของชุมชนในด้านการปฏิบัติ อันเป็นการอนุเคราะห์ประชาชนตามพุทธประสงค์
0 Comments :
แสดงความคิดเห็น