ประเทศไทยกับการรับมือน้ำมันแพง


*** ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประชุมนัดพิเศษร่วมกับ 5 รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือแนวทางการแก้ปัญหา “ราคาน้ำมัน” โดยเฉพาะการพยายามตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน    ลิตรละ 30 บาท ลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนส่ง ต้นทุนสำคัญของภาคการผลิต ที่จะกระทบต่อเนื่องไปถึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภค และอาจกระทบไปถึงต้นทุนค่าครองชีพของประชาชนในอนาคต

ทำไมน้ำมันถึงแพง?

          นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ          รมว.พลังงาน ระบุ สาเหตุหลักมาจากต้นทุนน้ำมันดิบของไทยอ้างอิงตามราคาตลาดโลกที่มีการปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นต่อเนื่องจนถึงต้นปี 2565 โดยกระทรวงพลังงานได้ออกมาตรการต่างๆ ตามขั้นตอน ตั้งแต่การใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาสนับสนุน และเตรียมหาเงินทุนอื่นเข้ามาดูแล รวมถึงยังพิจารณาถึงความจำเป็นในการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ โดยยืนยันว่าจะตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (20 ต.ค.2564) จะมีการหารือรายละเอียดในที่ประชุม  คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)

          ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นหลังจากผ่านจุดต่ำสุดเมื่อช่วงเดือน เม.ย. 2564 ราคาน้ำมันดิบติดลบครั้งแรก          ในประวัติศาสตร์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หดตัวอย่างรุนแรงในช่วงวิกฤตโควิด-19 จากนั้นมีการปรับลดกำลังการผลิต สวนทางกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวมาจนทำให้ในช่วงที่ทั้งโลกกลับมามีความต้องการใช้พลังงานสูง ไม่สมดุลกับกำลังการผลิตที่ปรับตามไม่ทันทำให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจากปัจจัยอุปสงค์อุปทาน และปัจจัยด้านการเมืองระหว่างประเทศ

การแก้ปัญหาในระยะเร่งด่วน

          เมื่อราคาน้ำมันตามกลไกตลาดเริ่มสูงจนอาจส่งผลกระทบกับประชาชน ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน            (4 ต.ค. 2564) ได้ออกมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาระยะสั้น  3 มาตรการคือ

          1.ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซล B7 จาก 1 บาทต่อลิตร เหลือ 0.01 บาทต่อลิตร           เริ่มดำเนินการตั้งแต่ 5 ต.ค. 2564 เป็นต้นไป

          2.ปรับลดค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา จาก 1.80 บาทต่อลิตร เหลือ 1.40 บาทต่อลิตร ระหว่างวันที่ 11-31 ต.ค.2564

          3.ปรับสัดส่วนผสมขั้นต่ำของไบโอดีเซล จากร้อยละ 7 และ 10 หรือน้ำมัน B7,B10 ให้เหลือร้อยละ 6 หรือปรับเป็นน้ำมัน B6 เพื่อให้เป็นน้ำมันมาตรฐานกลาง  มีผลตั้งแต่ 11-31 ต.ค. 2564 

ค่าเงินบาทที่อ่อนตัว ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยกระทบราคาน้ำมัน

          โดยราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทุก 1 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และเงินบาทที่อ่อนค่าลงทุก 1 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ก็จะมีผลต่อราคาน้ำมันขึ้น-ลง ราว 20 สตางค์/ลิตร สำหรับราคาดีเซล วันนี้          (19 ต.ค.) ขายปลีก กทม.-ปริมณฑล 29.49 บาท/ลิตร หากรัฐ   ไม่อุดหนุนโดยกองทุนน้ำมันฯ 1.99 บาท/ลิตร และภาคเอกชน    ไม่ช่วยลดค่าการตลาดแล้ว ราคาที่แท้จริงจะอยู่ที่กว่า 32 บาท/ลิตร 

ราคาน้ำมันที่คนไทยจ่ายมีต้นทุนแฝงเพื่อรักษาเสถียรภาพ

          สำหรับโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซล 29.49 บาท/ลิตร ก็จะแบ่งออกเป็น

         1. ต้นทุนเนื้อน้ำมัน (บี 6) 22.20 บาท มีสัดส่วน 75%

          2. ภาษีที่เกี่ยวข้องต่างๆ รวม 8.51 บาท มีสัดส่วน 28% ในส่วนนี้เป็นภาษีสรรพสามิต 5.99 บาท/ลิตร

          3. กองทุนต่างๆ อุดหนุน 6% แยกเป็นกองทุนน้ำมันฯ อุดหนุน 1.99 บาท และกองทุนอนุรักษ์ฯ จัดเก็บ 10 สตางค์/ลิตร

          4. ค่าการตลาดอยู่ที่ 66 สตางค์ มีสัดส่วน 2.33%

          สำหรับการแก้ปัญหาระยะเร่งด่วน ในเดือน ต.ค.นี้         ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดูแลกว่า 4,000 ล้านบาท แยกเป็นดูแลดีเซลกว่า 3,000 ล้านบาท และดูแลก๊าซหุงต้มกว่า 1,000          ล้านบาท และส่งผลให้ฐานเงินกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุดเหลือสุทธิประมาณกว่า 9,000 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งหากมีความจำเป็นอาจกู้ยืมเงินมาดูแลราคาน้ำมันดีเซล โดยกองทุนน้ำมันฯ ก็อยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงการคลัง 

         สำหรับการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันนั้น ผลดีคือทำให้ราคาน้ำมันลดลง นอกจากนี้ยังส่งผลต่อต้นทุนขนส่งโลจิสติกส์ไม่เพิ่มขึ้น ไม่กระทบราคาสินค้า ถือเป็นการลดภาระให้กับประชาชนอีกทางหนึ่ง  แต่การลดภาษีในส่วนนี้จะส่งผลกระทบกับรัฐบาลโดยตรง เนื่องจากการจัดเก็บภาษีจาก 3 แหล่ง ได้แก่ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร ถือเป็นรายได้หลักของประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้รัฐบาลไม่มีเงินหมุนเวียนมาใช้ในการแก้สถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ และอาจจะต้องมีการกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้นอีกด้วย

          อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สามารถที่จะกำหนดราคาเองได้ เมื่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตลาดโลกสูงและมีความผันผวน เราจะได้รับผลกระทบ    ในส่วนนี้อย่างเต็มที่ ดังนั้น การมีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สามารถช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ระดับหนึ่งดังจะเห็นได้จากในช่วงราคาน้ำมันในตลาดโลกเคลื่อนไหวอยู่ในระดับสูงและมีความผันผวนมาก รัฐก็ได้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นเครื่องมือ คือ รักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ที่ระดับหนึ่ง โดยการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชย และเมื่อราคาน้ำมันลดลงจึงเก็บส่วนที่ชดเชย        ไปคืนกลับมา ซึ่งสามารถลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ และช่วยให้ประชาชนไม่ต้องจ่ายราคาน้ำมันในราคาที่สูงเกินไป

#IOC

About สบายใจจัง

This is a short description in the author block about the author. You edit it by entering text in the "Biographical Info" field in the user admin panel.

0 Comments :

แสดงความคิดเห็น